วิธีการเป็นพนักงานต้อนรับที่ดี

พนักงานต้อนรับ

มีทักษะการจัดการเป็นเลิศ พนักงานต้อนรับคือหน้าตาของบริษัท เพราะเป็นคนแรกที่ได้พูดคุยกับลูกค้า เป็นคนที่เพื่อนร่วมงานและใครๆ ต่างก็มาถามข้อมูลรวมไปถึงแผนการจัดงานต่างๆ นอกจากงานรับโทรศัพท์และบอกทางให้คนที่เข้ามาในบริษัทแล้ว ยังต้องทำงานร่วมกับลูกค้า จัดการประชุมและงานต่างๆ อีก ด้วยหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้ พนักงานต้อนรับจึงต้องมีทักษะการจัดการเป็นเลิศ สามารถทำงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ใครที่ไม่สามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้อย่างเป็นระเบียบจะไม่สามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้นานนัก[1]

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก็คือ การลงทุนสร้างระบบการจัดเก็บเอกสารที่สะดวกกับคุณมากที่สุด คุณต้องรู้ว่าเอกสารหรือข้อมูลไหนที่เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าต้องใช้บ้าง เก็บเอกสารเหล่านี้แยกแฟ้มทั้งเอกสารที่เป็นกระดาษและที่รวมกันเป็นโฟลเดอร์อยู่ในหน้า Desktop หาวิธีที่จัดเก็บเอกสารที่คุณสามารถทำงานได้สะดวก ถ้ารู้สึกว่าแปะ Post-It สีนีออนไว้น่าจะเวิร์ก ก็แปะเลย

การมีทักษะการจัดการที่ดีรวมไปถึงการมีแรงกระตุ้นในการทำงานด้วย ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าต้องทำอะไรบ้างหรือมาจี้ให้คุณทำงาน ถ้าคุณมีทักษะการจัดการที่ดี คุณจะรู้ว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และต้องทำงานไหนให้เสร็จก่อน

เก็บเบอร์โทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นของเพื่อนร่วมงาน นายจ้าง ผู้รับจ้าง ผู้จำหน่าย เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น เพราะคุณต้องได้ใช้แน่ จัดระเบียบเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ดีในสมุดโทรศัพท์หรือในโปรแกรมคอมพิวเตอร์

สร้างเว็บไซต์เปิดร้านค้าออนไลน์ดีกว่า ลงทุนถูกกว่ามีร้านเอง

ความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตผู้คนอยู่เสมอ แต่สิ่งที่โดดเด่นและจับต้องได้มากที่สุดคงเป็นเรื่องเทคโนโลยี ต้องยอมรับว่าการถือกำเนิดของเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนช่วยผลักดันและอำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์อันทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปัจจุบันนั่นก็คือ ‘อินเทอร์เน็ต’ หลายคนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการถือกำเนิดของโลกออนไลน์เสมือนจริงทำให้ชีวิตพวกเขาแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทำธุรกิจ อินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก และที่น่าจับตามองก็คงไม่พ้นการเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

การสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นสื่อในการขายสินค้าได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยแล้วความนิยมด้านเว็บไซต์ขายของเพิ่งจะเริ่มได้รับในระดับเริ่มต้นเท่านั้น อาจเป็นเพราะคนที่มีกำลังซื้ออย่างแท้จริงยังเข้าถึงสื่อประเภทนี้ไม่มากมายนัก บวกกับค่านิยมในอดีตที่มักซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบเห็นหน้ากันโดยตรงทำให้มีผลทางความเชื่อมั่นเมื่อต้องเปลี่ยนมาซื้อขายแบบไม่เห็นหน้าโดยผ่านจอคอมพิวเตอร์แทน แต่ในความเป็นจริงการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจค่อนข้างมากในปัจจุบัน โดยประโยชน์ของการสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้ามีดังต่อไปนี้

1.ทำเว็บไซต์มีราคาประหยัด
ความประหยัดถือเป็นจุดเด่นที่สามารถจับต้องได้ชัดเจนมากที่สุดของการสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า เพราะหากลองจับคู่เทียบความแตกต่างระหว่างการเปิดหน้าร้านขายสินค้ากับการใช้เว็บไซต์เพื่อขายสินค้าแล้ว ผู้ประกอบการก็จะสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ว่าการขายสินค้าผ่านโลกออนไลน์จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก เพราะทำเว็บไซต์แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแค่เสียค่าโดเมนและค่าทำเว็บไซต์เท่านั้น หรือหากเลือกใช้เว็บสำเร็จรูปก็ยิ่งสะดวกมากขึ้น เว็บไซต์จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากในการออกสตาร์ตเริ่มทำธุรกิจ

2.คนเข้าถึงเว็บไซต์ง่าย
การเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมทุกคนจากทุกมุมโลกให้ติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทางเวิล์ดไวด์เว็บ การมีเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าจึงเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อซื้อสินค้าให้มีมากขึ้นและยังเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาเลือกซื้อสินค้าถึงบริษัทหรือหน้าร้านด้วยตนเองซึ่งอาจเสียเวลาพอสมควรเพราะการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งเรายังสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขจัดปัญหาข้อจำกัดทางด้านเวลาได้อีกด้วย

3.ทำเว็บไซต์ไม่ต้องมีหน้าร้าน
การใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้ามีข้อได้เปรียบมากกว่าลงทุนเปิดร้านหรือโชว์รูมเป็นของตนเอง เพราะการมีหน้าร้านจะต้องเสียค่าเช่า ค่าตกแต่ง ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ อีกจิปาถะ รวมถึงต้องเหน็ดเหนื่อยดูแลเปิดปิดร้าน ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ามากสักเท่าไรสำหรับธุรกิจซึ่งเพิ่งสร้าง เพราะอาจทำให้ระยะเวลาคืนทุนยืดออกไปอีก

4.เว็บไซต์ทำให้การเสนอขายน่าสนใจกว่า

สื่อออนไลน์บนโลกไซเบอร์ได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยีและสีสัน ช่วยให้การเสนอขายสินค้าดูดีและดึงดูดได้มากกว่าวิธีปกติธรรมดาทั่วไป ผู้ประกอบการอาจใช้ลูกเล่นในการนำเสนอ อาจการตกแต่งภาพของสินค้าและองค์ประกอบในรูปให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น สร้างวิดีโอสาธิตวิธีใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญหรือดาราผู้มีชื่อเสียงก็น่าสนใจเพราะสามารถส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้รับชมได้ไม่น้อย จึงเป็นเทคนิคที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการขายสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

สำหรับประเทศไทย การขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีคู่แข่งขันไม่มากที่หันมาใช้กลยุทธ์วิธีนี้ ดังนั้นการขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งน่าสนใจมากซึ่งผู้ประกอบการควรนำมาใช้ต่อยอดทางธุรกิจ อีกทั้งยังควรก้าวให้ทันเทคโนโลยีต่างๆ ด้วย อย่าลืมว่า “การทำอะไรก่อนผู้อื่นย่อมได้เปรียบเสมอ”

ตลาด E-Commerce มีการแข่งขันสูง จะมีวิธีการสร้างกำไรอย่างไร

ผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจการซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว เพียงนั่งรอสินค้าอยู่ที่บ้านก็เหมือนได้ไปเลือกซื้อด้วยตนเองแล้ว อีกทั้งห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเริ่มหันมารุกตลาดด้านนี้มากขึ้น และไม่เพียงแต่บริษัทใหญ่ๆเท่านั้น ทางด้านธุรกิจขนาดเล็กก็เริ่มเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าออนไลน์กันมากขึ้น นั่นก็เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย และได้รับผลกำไรที่มากกว่า ไม่ต้องเสียเงินไปกับการเช่าที่ขายสินค้า

แต่อย่างไรก็ตามตลาดสินค้าออนไลน์เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายเจ้าเริ่มวางแผนการตลาดกันใหม่ รวมไปถึงธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องหาสินค้าที่ดึงดูดผู้บริโภค หรือไม่ซ้ำใครออกมานำเสนอให้กับผู้บริโภค ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ยากที่จะสรรหาสินค้าหรือรูปแบบการตลาดที่โดนใจ ทำให้เกิดการตัดราคากันขึ้น เพราะ การดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ราคามีอิทธิพลสูง การตั้งราคากับภาพพจน์ของแบรนด์ การเพิ่มราคาอย่างโปร่งใส และการเพิ่มผลตอบแทนจากสินค้าคงคลัง ดูเหมือนว่าหัวข้อเหล่านี้จะเป็นงานที่รับมือลำบากทั้งสิ้น หากขาดการวางแผน นอกจากด้านราคาแล้วยังมีแผนการตลาดที่น่าสนใจมาแนะนำ ดังนี้

1.มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา การตั้งราคาใหม่อาจจะต้องใช้งบประมาณและเวลาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การใช้ทรัพยากรออนไลน์จึงเป็นเรื่องที่พึงกระทำ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มผลิตผลแล้ว ยังช่วยลดค่าบริหารจัดการอีกด้วย

2.ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า ผู้ประกอบการควรใช้หลักจิตวิทยาในการตั้งราคาเพื่อสร้างกำไร ในเบื้องต้นอาจจะดูขัดกับหลักการสร้างกำไรของธุรกิจ ผู้ซื้อได้รับอิทธิพลจากการลดราคา การส่งสินค้าฟรีก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ได้ผล

3.จัดการสินค้าในคลังให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากสินค้าขาดสต็อก มีความเป็นไปได้สูงถึง 77% ของลูกค้าที่จะเปลี่ยนไปซื้อกับคู่แข่งแทน ดังนั้นเราจำเป็นต้องรักษา 77% นี้ให้อยู่กับเรา

4.บริการที่ดี มีแนวโน้มว่าทำให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งกับร้านเดิม แม้ว่าจะตั้งราคาสูงกว่าร้านอื่น 66% ของผู้ซื้อ ต้องการซื้อเพิ่มอีกหากได้รับการบริการที่ดีจากทางร้าน

5.ตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้า จะทำให้องค์กรสามารถกำหนดราคาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการปฏิบัติต่อลูกค้าได้อย่างทันที ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงราคา

e-Commerce สร้างโอกาส ขยายตลาดสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับธุรกิจ

25ในระยะที่ผ่านมา หลายท่านคงเริ่มคุ้นหูกับคําว่า “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital economy) ที่เป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลปัจจุบันใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งหัวใจสําคัญของนโยบายนี้ก็คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ากับกระบวนการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับในการแข่งขัน โดยตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคงหนีไม่พ้น“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า e-Commerce ที่เป็นการดําเนินธุรกิจซื้อขายสินค้าและบริการโดยใช้สื่อและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก

หากเราจะมองหาต้นแบบของประเทศที่ประสบความสําเร็จในเรื่องของ e-Commerce และเป็นประเทศที่ใกล้กับไทยแล้ว ประเทศจีนถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าศึกษา ว่าทําไมจีนถึงสามารถพัฒนาตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketplace) ให้เติบโตจนก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

การใช้คําว่า “ระดับโลก” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะ e-Commerce ของจีนมีการเติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2546-2554 มีการเติบโตต่อปีเฉลี่ยสูงถึง 120 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว จนทําให้ในปัจจุบัน จีนได้ก้าวกระโดดจนกลายเป็นประเทศที่มียอดการซื้อขายสินค้าออนไลน์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกแทนที่สหรัฐอเมริกาความสําเร็จนี้ได้นําไปสู่คําถามสําคัญที่ว่า อะไรที่ทําให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นําในด้านการค้าแบบ e-Commerce ของโลกได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

จะเห็นว่าช่องทาง e-Commerce สามารถช่วยผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กให้สามารถการขายสินค้าได้มากขึ้น โดยไม่ได้จํากัดแต่เฉพาะตลาดในจีนเท่านั้น ยังสามารถขยายโอกาสไปถึงตลาดต่างประเทศได้โดยไม่จําเป็นต้องเปิดหน้าร้านในประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศไทยที่มีผู้ชื้อให้ความสนใจในการซื้อสินค้าออนไลน์จากจีนมากขึ้น ซึ่งจะเรียกว่าเป็นการส่งเสริมการส่งออกด้วยก็คงไม่ผิดนัก นอกจากนี้ จากประสบการณ์ของจีน ยังทําให้เราได้เห็นประเด็นที่น่าสนใจอีกว่า การซื้อขายออนไลน์ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคู่แข่งกับร้านค้าแบบดั้งเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้วการเติบโตของ e-Commerceกลับส่งผลดีต่อธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิมด้วย ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะร้านค้าแบบดั้งเดิมจํานวนมากจําเป็นต้องปรับตัว โดยหันมาใช้กลยุทธ์ในการเสนอสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งทําให้ร้านค้าแบบดั้งเดิมของตนเองเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย ทําให้การซื้อขายของทั้งสองช่องทางเติบโตขึ้นในทิศทางเดียวกัน

เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ในยุคที่รัฐบาลกําลังผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อให้ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้าน IT ที่ทันสมัย สามารถเชื่อมโยงกับตลาดโลกได้ ถือเป็นโอกาสทองที่จะช่วยให้ธุรกิจทั้งรายใหญ่และ SMEs สามารถใช้ช่องทาง e-Commerce สร้างโอกาส ขยายตลาดสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยลดขั้นตอนและต้นทุนต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการส่งออก เช่น การเป็ดร้านที่มีต้นทุนสูง และการต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง เป็นต้น ซึ่งหากธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs ที่มีสัดส่วนเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศใช้ e-Commerce ในการรุกเข้าสู่ตลาดโลกได้ ก็อาจจะเป็นตัวจุดประกายที่สําคัญให้การส่งออกของไทยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่การที่ไทยเราจะก้าวไปสู่จุดนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ทุกภาคส่วนสําคัญที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันในการผลักดัน e-Commerce อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องการพัฒนานวัตกรรมและรูปแบบการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และการมีระบบการชําระเงินที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยรองรับ รวมไปถึงการส่งเสริมให้คนไทยมีการซื้อขายสินค้าออนไลน์มากขึ้นด้วยเหล่านี้จะช่วยให้ e-Commerce กลายเป็นช่องทางการค้าสมัยใหม่ที่น่าสนใจของภาคธุรกิจไทย ทั้งการค้าขายภายในประเทศและการค้าขายระหว่างประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

กระแสการดำเนินธุรกิจผ่านระบบตลาดออนไลน์

การทำตลาดสมัยใหม่นี้เป็นการตลาดความสัมพันธ์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ การตลาดเชิงธุรกิจหรือการตลาดเชิงอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นองค์กรหรือสถาบัน และการตลาดเชิงสังคมที่มุ่งเน้นประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้การตลาดรูปแบบใหม่นี้ได้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล การโฆษณาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ การตลาดยุคสมัยใหม่นี้พยายามทำกลยุทธ์การแบ่งกลุ่มลูกค้าให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ซึ่งถือเป็นกระบวนการหนึ่งของการตลาดแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความแม่นยำชัดเจนมากยิ่งขึ้น การตลาดผ่านอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ได้หมายถึงการทำตลาดอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการตลาดผ่านอีเมล สื่อไร้สาย และการผลักดันผู้คนที่ได้บริโภคสื่ออย่างวิทยุ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการตลาดแบบดั้งเดิมเข้าไปสู่อินเทอร์เน็ตหรือหน้าเว็บไซต์ต่างๆอีกด้วย

การตลาดเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นสิ่งที่จะนำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ แม้แต่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการตลาดก็ยังเป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆอยู่เสมอ ทำให้นักการตลาดต้องปรับกลยุทธการตลาดเสียใหม่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อบรรลุเป้าหมายในการครองใจผู้บริโภค การทำการตลาดโดยอาศัยระบบอินเตอร์เน็ตซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ระบบอินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูงขึ้นและเป็นที่แพร่หลายโดยทั่วไป พร้อมกันนี้ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลกโดยใช้ทุนน้อยที่สุดอีกด้วย การตลาดออนไลน์นี้ยังเป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะสมกับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะลูกค้าสามารถแจ้งรายละเอียด รวมไปถึงสามารถแนะนำเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นตรงตามความต้องการของลูกค้าได้อีกด้วย

แม้แต่ธุรกิจขายตรงก็หลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอกระแสตลาดออนไลน์ เห็นได้ว่าบริษัทขายตรงหลายแห่งเริ่มมีการให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต มีการจัดประชุมผ่านระบบ Online , สามารถดาวน์โหลด MP3 เกี่ยวกับแผนการจ่าย ผลตอบแทน , รายละเอียดของสินค้าที่สามารถนำไปนั่งฟังบนรถประจำทางได้โดยที่ไม่ต้องเร่งรีบมาที่บริษัทเพื่อรับฟังรายละเอียดของสินค้า สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นตัวบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น ดังนั้นการทำกลยุทธ์ทางการตลาดบนสื่ออินเตอร์เน็ตจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการดำเนินธุรกิจเพราะเป็นการดึงดูดลูกค้าได้หลายกลุ่มนอกจากลูกค้าในประเทศแล้วการใช้สื่อออนไลน์นี้ยังเป็นประโยชน์ในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศให้เข้ามาสนใจธุรกิจของเรา แล้วตัดสินใจซื้อสินค้าของเราและหากลูกค้าเกิดความประทับใจก็จะนำสินค้าของเราไปบอกต่อกับลูกค้ารายอื่นๆ แล้วกลับมาใช้บริการธุรกิจของเราอีก

วางแผนตัวคุณเพื่อเข้าสู่การค้าออนไลน์ (e-Commerce)

การทำธุรกิจ e-Commerce เป็นรูปแบบหนึ่งของการประกอบธุรกิจ ซึ่ง จะต้องอาศัยทั้งศาสตร์และ ศิลป์ โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจทางด้านการตลาด ตั้งแต่วิธีการเข้าถึงและดึงกลุ่มเป้าหมาย (Come-In) จากยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่มีมากกว่าหนึ่งพันล้านรายในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อม ให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ส่งผลทำให้เกิดรายได้ (Income) จากเว็บไซต์ของธุรกิจ ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของตัวคุณในการเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะมองเห็นความเป็นไปได้ของการทำธุรกิจออนไลน์และการประสบความสำเร็จโดยมีสิ่งที่ต้องเตรียม ความพร้อมเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

เป้าหมายของธุรกิจ กำหนดเป้าหมายของการจัดทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ให้ชัดเจน เพื่อการขายสินค้าหรือบริการใช่หรือไม่ จะให้สั่งซื้ออย่างไร จัดส่งด้วยวิธีใด ต้องการให้ข้อมูลของ สินค้าหรือบริการอะไรบ้างเว็บไซต์

การวิเคราะห์ต้นทุน ความเสี่ยงและผลตอบแทน
– การลงทุนทางธุรกิจเป็นเรื่องที่คาดหวังผลตอบแทน คือ กำไรที่ได้จากการขายสินค้าหรือบริการ โดยต้องสร้างความมั่นใจว่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนการลงทุนในอนาคตจะได้รับเงินคืนมากกว่าที่ลงทุนไปวันนี้
– การสร้างมูลค่าจากการลงทุนการพัฒนาเครื่องหมายหรือการบริหารตลาดที่จะสร้างคุณค่าให้แก่ธุรกิจ ในแข่งชันให้ลูกค้าหันมาใช้บริการ เพิ่มขึ้น กับการนิ่งเฉยและปล่อยให้โอกาสทางธุรกิจลดลงเรื่อย ๆ
– ความเสี่ยง ที่จะทำให้ต้องพบกับแรงผลักดันในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ารายใหม่ พฤติกรรม ตลาดที่เปลี่ยนไป อำนาจการต่อรองของผู้จัดหาวัตถุดิบ สินค้าทดแทน และความรุนแรงในการแข่งขัน ซึ่งเราต้องรับรู้ ทำความเข้าใจ ตามให้ทันที่จะสร้างความได้เปรียบหรือกำหนดกลยุทธ์ให้เหนือคู่แข่งขัน นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะละเลยมิได้

สินค้าและราคา จะหมายถึง การมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่เราจะนำไปขายใน e-Commerce เป็นอย่างดี เพื่อที่เราจะได้รู้ถึงภาวะและแนวโน้มของตลาดในสินค้านั้นๆ ซึ่งตรงส่วนนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง

ช่องทางการพัฒนาตลาด e–Commerce ในประเทศไทย

mobile-e-commerce-trendsการเติบโตของตลาด e-Commerce ถือเป็นเชื้อเพลิงหลักให้กับการซื้อขายออนไลน์ โดยปัจจุบันนักลงทุนหลายๆรายต่างเริ่มสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจ e-Commerce กันมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นปัจจุบันต้องพัฒนาเกมและแผนการตลาดของตนเองโดยใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลมาช่วย เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อทำการตลาดแบบระบุกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น เสื้อผ้าคนอ้วน, เสื้อผ้า-รองเท้ากีฬา, อุปกรณ์ทำสวน เป็นต้น ซึ่งสินค้าเฉพาะกลุ่มเหล่านี้มีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉพาะหากสินค้านั้นๆมีคุณภาพด้วยแล้วก็จะสามารถชนะใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ง่ายๆ และสามารถแสดงความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆได้

สมัยก่อนเทคโนโลยีไม่สามารถทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลใหญ่ๆได้ ซึ่งปัจจุบันนี้เปิดกว้างมากขึ้น เราเริ่มที่จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลใหญ่ๆได้แล้ว คือเราเริ่มเอาข้อมูลผู้ซื้อผู้ขายมาวิเคราะห์ เราจะเริ่มรู้ว่าคนที่ซื้อสินค้าเราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ต้องการอะไร พฤติกรรมการซื้อเป็นยังไง เมื่อมีข้อมูลทั้งหมดจากคนที่ซื้อเข้ามา คุณจะเริ่มสามารถคาดการและวางแผนการตลาดได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น เรากำลังก้าวเข้าสู่ชุดการตลาดยุคใหม่ จากเดิมเมื่อก่อนผู้บริโภคจะต้องค้นหาสินค้าว่าต้องการอะไร ในเมื่อเทคโนโลยีมันเปิดกว้างมากขึ้นหรือเก่งมากขึ้น เราจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคของสินค้าที่เดินเข้าหาผู้บริโภค เพราะสินค้าจะรู้ว่าคุณกำลังจะต้องการสินค้าชิ้นนี้

เนื่องจากร้านค้าออนไลน์ในปัจจุบันเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นวิธีการดึงดูดลูกค้าได้ดีที่สุดของทุกรายจึงหนีไม่พ้นเรื่องการจัดโปรโมชั่น ทั้งลดราคาและแจกคะแนนสะสม โดยผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือผู้บริโภคทำให้ความจงรักภักดีของผู้บริโภคต่ำมาก เพราะใครเสนอราคาที่ถูกกว่าและต่ำกว่าผู้บริโภคก็พร้อมจะเปลี่ยนใจไปซื้อได้ทันที ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความแตกต่างและอยู่เหนือคู่แข่งรายอื่นๆ ร้านค้าจึงควรจะสร้างความประทับใจในการซื้อครั้งแรก พร้อมกับปรับปรุงบริการหลังการขายให้ลูกค้าปัจจุบัน โดยใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียให้เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารกับลูกค้า การทำธุรกิจ e–Commerce ก็ยังพบปัญหาอุปสรรคที่ต้องการการแก้ไข คือ การที่ผู้รับบริการบางรายถูกหลอกลวง การได้รับสินค้าไม่ตรงตามโฆษณา ขั้นตอนการสั่งซื้อยุ่งยาก เป็นห่วงความปลอดภัยทางด้านข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลบัตรเครดิต การส่งของที่ล่าช้าและไม่เห็นสินค้าก่อนสั่งซื้อหรือสั่งจอง ฯลฯ

กลยุทธ์การทำตลาดเว็บไซต์สำหรับ E-commerce

สังคมแห่งยุคเทคโนโลยีสารสนเทศนับวันจะเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ทุกวิชาชีพล้วนแล้วแต่มุ่งสู่สังคมอินเทอร์เน็ต มีการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์หน่วยงานหรือบริษัทของตนว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนได้เชื่อถือหน่วยงานเป็นเบื้องแรก และเริ่มนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการให้ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนเริ่มพัฒนาอย่างจริงจังเพื่อสร้างมูลค่าให้กับเว็บไซต์ (Web Site) มากยิ่งขึ้น จากจุดนี้เองในเมื่อบริษัทเริ่มมีเว็บไซต์เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในเบื้องแรกคือ จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย คลิกเข้ามายังเว็บไซต์บริษัทของเราเพื่อจะได้ตัดสินใจซื้อสินค้า หรือเลือกชมสินค้าได้ตามความพอใจ

1. การสร้างเว็บไซต์ให้น่าสนใจ
ในการออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจนั้น เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นการดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้ ซึ่งหากเขาได้เห็นเว็บไซต์ของเราที่มีการออกแบบที่สวยงาม มีสิ่งที่สนองความต้องการของเขาแล้ว ก็จะทำให้เขาติดตามข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า ซึ่งองค์ประกอบที่ถือเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบเว็บไซต์คือ การมีภาพประกอบที่สื่อถึงตัวสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่เราจะนำเสนอ ภาพนั้นจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้การโหลดภาพช้า จนอาจทำให้ผู้บริโภคคลิกไปยังเว็บไซต์อื่นได้ นอกจากนี้ยังมีข้อความที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ใช้ตัวอักษรที่เป็นสากล กล่าวคือสามารถอ่านได้จากบราวเซอร์ทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น Netscape หรือ Internet Explorer เป็นต้น และปุ่มทั้งที่เคลื่อนไหว และไม่เคลื่อนไหว หรือแม้แต่กราฟิกนำทาง เพื่อความสวยงามและเป็นเส้นนำสายตาให้น่าสนใจ ก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์น่าสนใจได้
2. มองหาเว็บไซต์อื่นเพื่อที่จะฝากลิงค์
การที่จะจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งหนึ่งจะต้องอาศัยพันธมิตร ก็คือเว็บไซต์ที่ให้บริการฝากลิงค์ หรือแลกลิงค์ หรือการไปแนะนำเว็บไซต์ของเรากับเว็บต่าง ๆ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง ถือเป็นพันธมิตรทางการค้า กล่าวคืออาจจะเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเหมือนกัน หรือธุรกิจเอื้อกัน ก็สามารถที่จะนำกราฟิกชื่อหรือสัญลักษณ์ของเว็บไซต์ต่าง ๆ มาไว้ในหน้าแรกของเว็บเรา เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคคลิกเข้าอ่านได้ ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และเป็นการประหยัดงบประมาณในการทำตลาดเว็บไซต์ได้อีกด้วย
3. สร้างสังคมออนไลน์ภายในเว็บไซต์ของเรา
การที่จะให้ผู้บริโภคคลิกเข้ามาเว็บไซต์ของเรานั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก แต่เรื่องที่ยากกว่านั้นคือ การที่จะทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้ามาแล้วเกิดความสนใจเว็บเรา จนต้องจดจำหรือ Add URL ไว้ที่เครื่องของเขา หรือจะเข้ามาชมเป็นครั้งที่ 2 หรือครั้งต่อ ๆ ไป ถือเป็นการยากกว่า แต่หากเราสร้างสังคมออนไลน์ให้เกิดขึ้น เช่นมีการแจก E-mail ฟรี ก็จะทำให้คนเข้ามาเช็คเมล์ ซึ่งบางคนเช็คทุกวัน เว็บไซต์ของเราก็มีคนเข้าทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง หรือการให้บริการด้าน Chat Room เป็นการสนทนาออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากการสนทนาในลักษณะนี้
4. การแลกแบนเนอร์ให้กับเว็บไซต์
โดยปกติแล้วในการทำตลาดเว็บไซต์มีการขายพื้นที่ หากจะไปลงโฆษณาในเว็บไซต์อื่น กล่าวคือการนำแบนเนอร์ของเราให้ไปปรากฏในเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ก็จะเป็นการทำตลาดอย่างสำคัญให้กับเว็บไซต์ของเรา ซึ่งในปัจจุบันสามารถที่จะฝากแบนเนอร์ฟรี ได้ด้วย
5. โฆษณาขายสินค้าออนไลน์ (Classified Ad Online)
การโฆษณาขายสินค้าออนไลน์ มีไว้สำหรับร้านค้าแบบออนไลน์ เป็นการนำแบนเนอร์ไปฝากไว้กับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา ซึ่งสามารถทำให้ผู้ชมเข้าชมเว็บไซต์ต่าง ๆ แล้วคลิกเข้ามาหาเว็บเราได้
6. การใช้สื่ออื่นเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์
เว็บไซต์ที่ทำการเปิดตัวใหม่ ๆ จะมีบริษัทรับทำประชาสัมพันธ์ให้ ซึ่งถือเป็นอาชีพใหม่ของนักการตลาด เนื่องจากเมื่อมีการค้า-ขายทางอินเทอร์เน็ตด้วยแล้ว สิ่งแรกเลยที่สินค้าจะไปถึงลูกค้าคือการที่จะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ไปถึงผู้บริโภคได้ จึงมีบริษัทรับทำประชาสัมพันธ์ไอทีขึ้น (Production house IT) ซึ่งเป็นบริษัทรับทำประชาสัมพันธ์แบบใหม่ที่เป็นอาชีพใหม่ที่น่าสนใจสำหรับนักการตลาดยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเว็บที่มีชื่อเสียงล้วนแล้วแต่อาศัยบริษัทเหล่านี้ช่วยประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ให้ทั้งสิ้น

จะเห็นได้ว่ามีกลยุทธ์ต่าง ๆ มากมาย หรือยังไม่กล่าวมา ณ ที่นี้ ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ให้ประชาชนได้รับทราบ และสนใจที่จะติดตามเข้าเยี่ยมชม หรือเป็นลูกค้าสำคัญ ที่จะต้องเข้ามาเยี่ยมชมกิจการได้ในที่สุด ดังนั้นนักการตลาดยุคใหม่ จำเป็นต้องมีความรู้ด้านอินเทอร์เน็ต การเขียนเว็บไซต์เพื่อผลทางการตลาดของบริษัท อาจจะเป็นลักษณะการให้ความรู้ ข่าวสารของบริษัท หรือสามารถที่จะขยายไปสู่การค้า-ขายสินค้าออนไลน์ได้ และสิ่งที่สำคัญเบื้องแรกคือ จะต้องให้ความสำคัญกับการทำการตลาดให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์เราอยู่รอดได้ กล่าวคือเมื่อมีผู้เข้าเยี่ยมชมมาก ก็จะสามารถที่จะหารายได้จากเว็บไซต์ได้อีกด้วย

E-Commerce ธุรกิจออนไลน์มีผลตอบรับค่อนข้างดีในยุคปัจจุบัน


ความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาตามยุคสมัยได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ที่โดดเด่นและจับต้องได้มากที่สุดคงจะเห็นเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี เพราะการถือกำเนิดขึ้นของเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยผลักดันและอำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์อันทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปัจจุบันนั่นก็คือ อินเตอร์เน็ต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำธุรกิจ อินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้นการเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

การทำธุรกิจการค้าขายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตก็เป็น E-Commerce ที่นิยมทำกันในปัจจุบันด้วยความสะดวกสบายไม่ต้องมีหน้าร้านอะไรมากมายเราแค่ลงทุนทำเว็บไซน์ขายของ ของเราขึ้นมานั้นก็เป็นร้ายค้าของเราได้แล้ว บางคนบอกทำเว็บไม่เป็นเลยจะทำอย่างไร ต้องบอกไว้เลยทุกวันนี้เว็บไซน์เราสามารถเปิดใช้บริการง่ายมาก ๆ มีผู้ที่รับทำเว็บไซน์ขายของอยู่มากมาย

ลูกค้าสามารถเลือกชมหรือสั่งซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่ต้องเดินทาง ด้วยความที่ว่าการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมทุกคนจากทุกมุมโลกให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทางเวิล์ดไวด์เว็บ การมีเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าจึงเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อซื้อสินค้าให้มีมากขึ้นและยังเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาดูและเลือกซื้อสินค้าถึงบริษัทหรือหน้าร้านที่จัดจำหน่ายด้วยตนเองซึ่งเป็นการเสียเวลาพอสมควรในปัจจุบันที่มีสาเหตุจากการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งการมีเว็บไซต์ยังสามารถทำให้ซื้อขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงขจัดปัญหาข้อจำกัดทางด้านเวลาออกไป

การที่จะขายสินค้าได้นั้นจะต้องมีการโปรโมทเว็บขายสินค้า และก็ต้องทำ “seo” ให้เว็บขายสินค้าของเราให้ติดอันดับของเสิร์ชเอนจิ้นด้วยแล้วคุณจะรู้ว่าการขายของในโลกออนไลน์วิเศษแค่ไหน ถ้าเราไม่เก่งในการโปรโมทเว็บเองก็สามารถใช้บริการลงโฆษณาได้

การทำธุรกิจ e-Commerce เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินทุนน้อยและต้องการลดต้นทุน

e-shop keyboard key. Finger

ในยุคปัจจุบันเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของใครหลายๆคนไปแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสาร รวมถึงระบบเครือข่ายสัญญาณต่างๆ ทำให้การติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก ผลจากการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือนและสถานประกอบการที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยแพร่ไปแล้ว พบว่า ในรอบ 5 ปีประชากรที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเกือบสองเท่าคือ เพิ่มจากร้อยละ 12.0 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 22.4 ในปี 2553 และสถานประกอบการทั้งใหญ่และเล็กที่มีคนทำงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 10.7 ในปี 2548 เป็น ร้อยละ 16.5 ในปี 2553

วัตถุประสงค์ของการใช้อินเทอร์เน็ตมีความหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น ค้นหาข้อมูล ติดตามข่าวสาร รับส่งข้อมูล เล่นเกมส์ เป็นต้น แต่ที่น่าสนใจ คือ มีการนำอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มช่องทาง ในการทำธุรกิจซื้อขายสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ หรือที่เรียกว่า ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการดำเนินการอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ B2B คือ การทำธุรกิจระหว่างภาคธุรกิจด้วยกัน B2C คือ ระหว่างภาคธุรกิจกับผู้บริโภค B2G คือระหว่างภาคธุรกิจกับภาครัฐ การทำธุรกิจ e-Commerce เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินทุนน้อยและต้องการลดต้นทุน เพราะเพียงแค่มีเว็บไซต์หนึ่งเว็บไซต์

ก็เปรียบเสมือนว่าคุณมีร้านค้าอยู่ทั่วโลกและสามารถเปิดการค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่มีวันหยุด สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง รวมทั้งให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในอดีตการทำธุรกิจการค้านิยมกันเพียงการขายผ่านทางหน้าร้านเท่านั้น ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการร้าน การจ้างคนดูแล หน้าร้าน ค่าเช่าพื้นที่ ข้อจำกัดทางด้านเวลาในการเปิดร้าน ทำเลที่ตั้งร้านค้า ซึ่งในการตั้งร้านค้าในรูปแบบเดิมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้เฉพาะลูกค้าในพื้นที่นั้นเท่านั้น หลายคนคงสงสัยว่า สินค้าและบริการประเภทไหนที่ควรทำในรูปแบบของ e-Commerce คำตอบคือ สินค้าทุกชนิดสามารถนำมาทำได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าสินค้าชนิดนั้นจะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน การทำธุรกิจนั้นไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใดก็ตามสิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ก่อนว่าใครคือกลุ่มลูกค้าของเรา และสินค้าที่จะขายเหมาะกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน และลูกค้ากลุ่มนั้นมีโอกาสมากน้อยในการเข้าถึงเทคโนโลยี

E-Commerce กับแนวทางเลือกหนึ่งสำหรับสินค้าขายทางเว็บไซต์

caritas

ปัจจุบันกระแสในด้านการเปิดเว็บไซต์ในการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือ E-Commerce ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทย เนื่องจากการขายสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเริ่มที่จะสะดวกมายิ่งขึ้น อีกทั้งยังเริ่มต้นด้วยการลงทุนที่ไม่สูงมากนัก ทำให้การขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นทำให้มีการแข่งขันที่รุนแรง เช่น การตัดราคาคู่แข่งทางการตลาด รวมไปจนถึงการจัดโปรโมชั่นลดราคา ดังนั้นถ้าหากใครที่กำลังจะตั้งเว็บไซต์ที่จะให้บริการทางด้าน e-Commerce จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหากลยุทธ์ใหม่ๆ หรือมองหาตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสและรายได้ให้กับตนเอง นอกจากนี้ตลาดในทางด้านแฟชั่นยังไม่ค่อยที่จะมีสินค้าทางด้านนี้จำหน่ายออนไลน์มากนัก ขณะเดียวกันช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นทางออนไลน์นั้นยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงจนเกินไป

สำหรับตลาดทางด้านแฟชั่น e-Commerce จะมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามกระแสความนิยมที่ผ่านมา แต่ในหลาย ๆ บริษัทก็มักจะเจอกับปัญหาอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าที่เป็นปัญหาหลักๆรวมไปถึงปัญหาทางด้านบริการหลังการขายที่ไม่อาจจะชนะใจลูกค้าได้รวมไปจนถึงการเปลี่ยนสินค้าอยู่เป็นประจำ เนื่องจากการซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ ไม่สามารถที่จะทดลองใส่ได้เหมือนกับการจับจ่ายตามห้างสรรพสินค้า ฉะนั้นแล้วการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตควรที่จะมีหลักประกันโดยสามารถยืนยันได้ว่าเว็บไซต์นั้นมีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ ทำให้ผู้ใช้บริการกล้าที่จะใช้บริการ เพราะ e-Commerce ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์เพราะสะดวกสบายกว่าการชำระเงินผ่านระบบการโอน

ดังนั้นการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ถือได้ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดการซื้อขาย ฉะนั้นแล้วผู้ให้บริการจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ และที่สำคัญผู้ใช้บริการทั้งหลายก็ควรที่จะสังเกตด้วยว่าเว็บไซต์ดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลเกี่ยวกับการเงินของตนเองได้หรือไม่และควรที่จะอ่านรายละเอียดต่าง ๆ บนเว็บไซต์ให้ครบถ้วนก่อนทำการชำระเงินทุกครั้งเพราะนั่นถือได้ว่าเป็นกฎระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ทำให้มั่นใจได้ว่าการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์นั้นเป็นผลดีสำหรับตนเองได้อีกด้วย

เคล็ดลับในการทำธุรกิจออนไลน์อย่างไรให้ได้ผล


ยุคนี้สมัยนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าเป็น ยุคเฟื่องฟูของ E-Commerce หรือ การทำธุรกิจออนไลน์ จะสังเกตได้ว่าหลายๆเว็บไซต์ในโลกนี้มีการขายสินค้าออนไลน์อยู่เป็นจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะการเปิดร้านขายสินค้าออนไลน์ทำได้ง่าย และไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนมาก การเปิดร้านค้าออนไลน์กับไทยอีเพย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีของผู้ที่ต้องการความแตกต่างจากร้านค้าออนไลน์แบบเดิมๆ ด้วยรูปแบบที่แปลกตา ฟังก์ชั่นที่สมบูรณ์แบบ และการให้บริการที่แสนประทับใจ ทำให้ผู้ขายเลือกเปิดร้านค้าออนไลน์กับไทยอีเพย์เป็นจำนวนมาก แนะนำรายละเอียดของร้านค้าออนไลน์แต่อย่างใด สิ่งที่ต้องการนำเสนอในวันนี้ก็คือ “เคล็ดลับ 5 ต้อง” สู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ เรามาเริ่มต้นหนทางสุ่ความสำเร็จกัน

ข้อ1 ต้องมีความตั้งใจในการทำธุรกิจ
สิ่งแรกของการเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าชนิดใดก็แล้วแต่ คือ ความตั้งใจจริงของผู้ขายครับ ผู้ขายหรือเจ้าของร้านออนไลน์นั้น จำเป็นต้องสละเวลาในการอัพเดตข้อมูลสินค้า ตกแต่งเว็บไซต์ ตลอดไปจนคัดสรรสินค้าเพื่อนำมาขาย และต้องไม่เบื่อหน่ายหรือล้มเลิกกลางคัน ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์แน่นอน

ข้อ2 ต้องกำหนดสินค้าและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
การกำหนดสินค้าและกลุ่มเป้าหมายในการขายนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกันผู้ขายต้องทราบก่อนว่าจะขายอะไร ให้กับใคร อย่าได้ขายสะเปะสะปะโดยไม่ได้ศึกษากลุ่มเป้าหมายเชียวนะครับเพราะนั่นจะหมายถึง “หายนะ” เช่น หากต้องการขายเสื้อผ้า ก็ให้เน้นขายเสื้อผ้าไปก่อนและค่อยขยับขยายขายสินค้าอื่นๆต่อไป อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะเอากล้องถ่ายรูปมาขายร่วมกัน ไม่ผ่าน ส่วนกลุ่มเป้าหมาย ก็ให้เจาะจงในกลุ่มแคบๆก่อน เช่น กลุ่มนักเรียนนักศึกษา กลุ่มหนุ่มสาวทำงาน หรือกลุ่มหนุ่มสาววัยทองก็ว่ากันไป

ข้อ3 ต้องมีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
คงไม่มีลูกค้าคนไหนที่อยากจะเข้ามาสั่งซื้อสินค้ากับร้านค้าออนไลน์ที่ดูกะโหลกกะลาหรอกนะครับ นั่นเป็นเพราะกลัวโดนเชิดเงินเอาง่ายๆ ผู้ขายจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่ดู Professional ใช้งานง่าย ดูสะอาดตา ไม่ใช่เต็มไปด้วยแบนเนอร์โฆษณาขายไม้จิ้มฟันยันเรือรบ กว่าจะหาสินค้าที่ต้องการเจอ ก็ปวดกระบอกตากันพอดี นอกจากนี้ยังต้องมีรูปภาพของสินค้าจริง มีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน อย่าลืมว่าข้อมูลของผู้ขายก็ต้องเป็นความจริงด้วยนะครับ และหากมีระบบการชำระที่หลากหลาย เช่น ATM หรือ ชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตด้วยแล้ว จะทำให้เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ซื้อเป็นอย่างมาก

ข้อ4 ต้องมีการประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุม
กลยุทธ์สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การประชาสัมพันธ์ร้านค้าออนไลน์ของคุณให้เป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะประชาสัมพันธ์ทาง facebbok twitter หรือแม้แต่ตามเสาไฟฟ้าก็ดี วิธีการต่างๆนิ้จะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของคุณได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังต้องมีสินค้าโปรโมชั่นด้วยเพื่อช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูค้าให้เร็วขึ้น ทั้ง ลด แลก แจก แถม งัดวิธีไหนมาหลอกล่อลูกค้าได้ จงงัดออกมาให้หมด

ข้อ5 ต้องมีการบริการที่ดี
การบริการที่ดี ผู้ขายหลายๆคนมักมองข้ามเรื่องการบริการและคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการขายสินค้าออนไลน์คือการทำเว็บไซต์และอัพโหลดสินค้า แต่แท้จริงแล้วการบริการนี่แหละครับ ที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้มากที่สุด ผู้ขายต้องมีความจริงใจต่อลูกค้า และต้องทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี ผู้ขายต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีคุณเป็นที่พึ่ง ให้เค้ารู้สึกว่าเข้ามาซื้อแล้ว อยากเข้ามาซื้ออีกในครั้งต่อๆไป และเมื่อคุณมีฐานลูกค้าประจำมากมายแล้ว คุณสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็น Community ย่อมได้เลย เพื่อใช้ในการเลือกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ และช่วยเพิ่มยอดขายให้คุณอย่างได้ผลจริงๆ

เคล็ดลับ 5 ต้องนี้ช่วยทำให้ผู้ขายประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ได้จริง

E-Commerce ยังเป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ประกอบการ ช่วยสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าขาย


ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางการค้าที่น่าสนใจมาก เพราะนับวันก็ยิ่งมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลให้การค้าทางอินเตอร์เน็ตขยายตัวได้อย่าง รวดเร็วและการทำธุรกิจบนเว็บไซต์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากมายหลายประการ กระแสอินเตอร์เน็ต ทำให้คนผู้ในโลกที่แตกต่าง กลับมีความใกล้ชิดกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มีวิถีชีวิตและพฤติกรรมไม่ต่างกันมากมายอย่างในอดีต ในอนาคต E-Commerce จะเข้ามาพลิกโฉมทางการค้าและเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และห้างสรรพสินค้าอาจจะไม่มีความจำเป็นแล้วเพราะต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่จะหันมาใช้ห้างสรรพสินค้า E-Commerce ซึ่งกำลังเป็นที่ตื่นตัวกันอย่างมากในอเมริกา ดังนั้น เมื่อ E-Commerce มีบทบาทมากขนาดนี้ เราจะมองข้ามเสียไม่ได้

ประโยชน์จาก E-Commerce
สินค้าที่ต้องการจำหน่ายผ่านทางอินเตอร์เน็ตจะเป็นสินค้าที่รู้จักของผู้ซื้ออยู่แล้ว หรือสินค้าขายปลีกทั่วๆ ไป ที่ลูกค้าเลือกซื้อได้จากทุกมุมโลก เพียงแต่คลิกเม้าท์เท่านั้น เช่น ผู้จำหน่ายหนังสือ ของเล่นอุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าที่สะดวกในการขนส่ง เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ สินค้าส่งออกที่มีจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว สินค้าที่มีเอกลักษณ์ของไทย เช่นผ้าไหม สินค้าหัตถกรรมเซรามิค เครื่องประดับ ซึ่งใช้ E-Commerce จะประหยัดกว่าการทำธุรกิจแบบเดิม ที่ต้องส่งแคตาล๊อกไปให้ลูกค้าหรือไปเช่าบู๊ทในงานแสดงสินค้าในประเทศต่างค่าใช้จ่ายสูงมาก ถ้าสร้างเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ต ทำเป็นบูทถาวรที่ลูกค้าเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสินค้าที่สามารถส่งมอบทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เช่น เพลง วิดีโอเกม ซีดีรอม เมื่อลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยก็กาวน์โหลดสินค้าเหล่านั้นเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่เชื่อมต่อกันกับอินเตอร์เน็ตหรือธุรกิจที่มีบริการขนส่งสินค้าของตนเองอยู่แล้ว เช่น ร้านเบเกอรี่ ร้านดอกไม้ ซึ่งลูกค้าอยู่ต่างประเทศสามารถส่งสินค้าถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ หรือ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น จองตั๋วเรือบิน จองแพ็คเกจทัวร์ จองโรงแรม โดยผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น

ความปลอดภัย หัวใจสำคัญของ E-Commerce
ธุรกิจ E-Commerce ในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ต้องชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ทั้งสิ้น ดังนั้นความปลอดภัยในการชำระเงิน จึงถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการซื้อขายออนไลน์ ทุกเว็บไซต์ควรจะมีระบบที่ไว้วางใจได้ ให้ลูกค้าหมดห่วงกับการชำระเงิน ปัจจุบัน มีการนำระบบ การชำระเงิน ผ่านบัตรเครดิตมาใช้ ซึ่งได้รับความนิยมจากทั้ง ผู้ซื้อ และผู้ขาย เพราะถือว่า เป็นระบบที่ได้รับ ความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายในประเทศ หรือ ต่างประเทศก็ตาม หรือระบบการโอนเงินออนไลน์ผ่าน OTP (One Time Password) หรือระบบการใส่รหัสผ่านแบบครั้งเดียว ซึ่งต้องใช้เลขพาสเวิร์ดที่ได้รับในโทรศัพท์ของเจ้าของเครื่องเท่านั้น เมื่อมีการทำรายการออนไลน์ จะสามารถแน่ใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะมีการดำเนินการอย่างปลอดภัย

 

E-Commerce ขายสินค้ากำลังมาแรง

การขายสินค้าบนโลกออนไลน์ หรือที่เรียกว่า “E-Commerce” นับวันยิ่งมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเรียกว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนทำธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่่เพิ่งจบการศึกษาและต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ยังคงไม่มั่นใจที่จะลงทุน จึงใช้ช่องทางออนไลน์มาเป็นช่องทางการทำธุรกิจของตัวเอง ธุรกิจ E-Commerce ถือเป็นช่องทางใหม่และยังเป็นช่องทางหนึ่งที่จะสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าขายให้ผู้ขายได้มากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือ “E-Commerce” เป็นช่องทางที่ช่วยในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เลยเห็นได้ว่าในปัจจุบันคนนิยมหันมาทำ “E-Commerce” มากขึ้น แต่การขายสินค้าบนโลกออนไลน์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย

กระแสการเติบโตของการค้าบนมือถือ หรือที่เรียกกันว่า M-Commerce (Mobile Commerce) จากตัวเลขประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการใช้งาน 3G ที่จะเปิดให้ใช้งานจริงมากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น แท็บเล็ตและโทรศัพท์มือถือมีจำนวนมากและราคาถูกลง ก็ยิ่งทำให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพามากขึ้น

การช้อปปิ้งสินค้าผ่านทางอุปกรณ์พกพาอย่างโทรศัพท์มือถือ จึงกลายเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่อาจมองข้าม โอกาสทางการค้าของ M-Commerce ในเมืองไทยมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

M-Commerce จะเป็นช่องทางที่ช่วยเสริมทำให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นได้ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่ซื้อสินค้าในเว็บไซต์ตลาดดอทคอมในช่วงเวลาปกติ ตั้งแต่เช้าถึงเย็นจะเป็นคนที่ซื้อผ่านทางคอมพิวเตอร์ ส่วนช่วงเวลาเที่ยงหรือช่วงหลังหกโมงเย็นเป็นต้นไป อัตราการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือจะเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ที่คนทำงานอาจไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ฉะนั้น จะเห็นว่าช่องทาง M-Commerce เป็นช่องทางเสริมของการซื้อ-ขายออนไลน์ และเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ผู้ประกอบการ E-Commerce ในเมืองไทยจึงควรหันมามองและวางแผนในการใช้ช่องทางนี้เช่นกัน

ถึงแม้ในขณะนี้ จำนวนเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ที่รองรับรูปแบบบนมือถือในประเทศไทยจะยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการ E-Commerce หลายรายน่าจะเริ่มมีการขยับขยาย พัฒนารูปแบบเว็บไซต์ให้รองรับ Version บนมือถือมากขึ้น

โดยจากการรีเสิร์ชพบว่า เว็บไซต์ซื้อ-ขายออนไลน์ที่เป็น E-Commerce หรือ M-Commerce ก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อ-ขายผ่าน Mobile Version หรือเว็บไซต์ที่เป็นด้าน Mobile มากกว่าเป็น Application ด้วยตัวแอพพลิเคชั่นค่อนข้างมีข้อจำกัด ยุ่งยาก เพราะต้องทำให้คนโหลดแอพพลิเคชั่นนั้นเสียก่อน ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราการเปิดแอพพลิเคชั่นใหม่สูงถึง 20 แอพฯ ต่อเดือน แต่คนที่ใช้จริงเพียงแค่ 4-5 แอพฯ เท่านั้น จึงจะมีแอพฯ อีกเกือบ 15 แอพฯ ที่โหลดมาโดยไม่ได้ใช้ และแอพฯ ใน E-Commerce คือส่วนหนึ่งในนั้น

ฉะนั้น การที่ผู้ประกอบการE-Commerceใช้แอพพลิเคชั่นในการขายสินค้าจึงเป็นการสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเอง และสร้างขั้นตอนที่ยุ่งยากให้กับผู้ใช้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ขายสินค้าออนไลน์หันไปทำ M-Commerce โดยพัฒนาช่องทางการขายผ่าน Mobile Version เพราะการใช้งานจะสะดวกและรวดเร็วมากกว่า ซึ่งวิธีการแปลงเว็บไซต์ร้านค้าให้มาอยู่บนมือถือนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจเช็กได้ว่า หากมีผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือเข้ามาทำการซื้อ-ขายออนไลน์ ระบบก็จะดึงหน้าเว็บไซต์ที่แสดงบนมือถือให้เลย ในขณะเดียวกันหากใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาก็จะเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นหน้าเว็บไซต์ปกติให้ทันที ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นที่เราต้องนำมาใช้พัฒนาเพื่อให้รองรับกับระบบมือถือมากขึ้น

E-Commerce บริการการซื้อขายออนไลน์

ในโลกปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต ไม่เพียงแต่การ การสืบค้นข่าวสารข้อมูลต่างๆ การติดต่อสื่อสารในหมู่เพื่อนฝูง แต่ยังรวมไปถึงการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตหรือที่นิยมเรียกกันว่า E-Commerce เพราะ E-Commerce บริการการซื้อขายออนไลน์ เพียงแค่คลิก ก็สามารถซื้อขายได้ทุกที่ง่ายดาย สร้างความสะดวกสบายให้ผู้ซื้อและผู้ขาย จับจ่ายได้ทุกที่ทุกเวลา

นอกจากนั้น เทคโนโลยี ก็ยังถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจ E-Commerce เติบโตไปได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะการทำธุรกิจ E-Commerce ปัจจุบัน สามารถใช้งานได้จากหลายช่องทาง ทั้งทางสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบของ E-Commerce ก็มาพร้อมความปลอดภัย โดยเว็บไซต์ E-Commerce ส่วนใหญ่จะมีระบบการจ่ายเงินที่สะดวกสบายแต่ระบบความปลอดภัยสูงมาก

ยิ่งไปกว่านั้น E-Commerce ยังเป็นช่องทางใหม่สำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการค้าขายให้ผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น และเป็นตัวช่วยหนึ่งในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทั้งยังเป็นวิธีที่ดีในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอีกทางหนึ่งด้วย เพราะในปัจจุบันสังคมออนไลน์ถือเป็นสื่อหลักที่ช่วยในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยขยายแบรนด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและขยายฐานธุรกิจออกไปอีกด้วย

การผันตัวของผู้ประกอบการเข้าสู่ E-Commerce ในสมัยนี้ แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงนั้นสามารถทำได้ง่ายมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องมีความรู้และเข้าใจในเรื่องของ Programming, Designing, Database, Network, Internet, Payment และอื่นๆ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก จึงส่งผลให้ธุรกิจ E-Commerce เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตา และเริ่มเรียนรู้มัน